เดี๋ยวนี้ ทั้งคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่า หันมาเล่นแผ่นเสียงกันมากขึ้น เพราะยิ่งเทคโนโลยีซับซ้อน ก้าวหน้าไปเพียงไร คนก็ยิ่งโหยหาความเรียบง่าย เพื่อกลับไปหารากเหง้ากันมากขึ้น เป็นเงาตามตัว
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ดิจิตอลกลายเป็น “ของโหล” ที่นับวันจะถูกลงเรื่อยๆ ทว่า ผลิตภัณฑ์อนาล็อกกลับกลายเป็น “ของหายาก” ที่ระดับราคาสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
นั่นแหละ ตรรกะของกิเลสมนุษย์ยุคนี้!
การกลับไปหาแผ่นเสียง ก็เกิดขึ้นจากกิเลสแบบนั้น
การเล่นแผ่นเสียงได้กลายเป็น “Trend” ของการบริโภคและการใช้ชีวิตสมัยใหม่ไปเสียแล้ว เดี๋ยวนี้ ถ้าใครเปิดนิตยสารแฟชั่น หรือนิตยสารตกแต่งบ้านประเภท “เทรนดี้” ทั้งหลาย ก็จะพบบทสัมภาษณ์ดารา และภาพถ่ายบ้านหรือคอนโดของคนมีชื่อเสียงจำนวนมากที่หันกลับไปฟังแผ่นเสียง
คอลเล็กชั่นแผ่นเสียง เริ่มกลับมาเคียงคู่กับคอลเล็กชั่นหนังสือหรือซีดีบนหิ้งอีกครา ในขณะที่ร้านขายแผ่นเสียงทั้งมือหนึ่ง มือสอง มือสาม ตลอดจน Website ขายแผ่นเสียง กลับมาคึกคักอีกครั้ง ราคาแผ่นเสียงเก่าบางแผ่น ขายกันเป็นหลักหมื่นก็ยังมีคนซื้อ
แน่นอน ตลาดเครื่องเล่นจานเสียง หรือ Turntable ก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งแท่น โทนอาร์ม และหัวเข็ม ที่เริ่มมีให้เลือกอย่างหลากหลาย ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหลายแสนบาท
หนังสือเครื่องเสียงทุกเล่ม ต้องมี Section ประจำ ไว้สำหรับ ผู้รักแผ่นเสียง ทั้งโดยการแนะนำเครื่องเล่นจานเสียงรุ่นต่างๆ ตลอดจน “เครื่องเคียง” ที่มีตั้งแต่ หัวเข็มชนิดต่างๆ, โทนอาร์ม, (Tonearm), เครื่องขยายเสียงเฉพาะสำหรับเครื่องเล่นจานเสียง (Phono Stage), สายสัญญาณต่อเชื่อมระบบแผ่นเสียง ไปจนถึงบทวิจารณ์แผ่นเสียงออกใหม่ที่เริ่มมีให้เลือกมากในแต่ละเดือน
Made in Switzerland
Thorens เป็นผู้ผลิตเครื่องเล่นจานเสียงที่นักเล่นทุกรุ่น ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ รู้จักกันดี ชื่อ Thorens เป็นชื่อสามัญประจำบ้านของวงการเครื่องเล่นจานเสียง เหมือนดัง “บรีส” กับผงซักฟอกนั่นแหละ
ตลอดระยะเวลา 123 ปี ที่ผ่านมา Thorens ผลิตเครื่องเล่นจานเสียงมามากมายหลายรุ่น แต่รุ่นที่เปรียบเสมือน “กล่องดวงใจ” และมีนักสะสมจำนวนมากแสวงหาเพื่อให้ได้มาครอบครอง ก็คือรุ่น “TD-124” ซึ่งถือเป็น Top-of-the-line ของ Thorens.
ผมจะไม่ขอกล่าวถึงรุ่น Limited Edition ดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องสุดเอื้อมสำหรับคนส่วนใหญ่ และใช่ว่ามีเงิน ก็จะสามารถหามาครอบครองได้ ซะเมื่อไหร่
ตำนานของ Thorens เริ่มที่เมือง St.Croix ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี 1883 โดย Hermann Thorens ผู้ก่อตั้ง แรกทีเดียว Thorens ผลิตหีบเพลงปาก (Harmonica) ไฟแช็ก และมีดโกน จนขยายใหญ่โต ว่ากันว่า ในปี 1929 นั้น Thorens จ้างพนักงานกว่า 1,200 คนเลยทีเดียว
และเมื่อปี 1929 นี่เองที่ Thorens เริ่มผลิตเครื่องเล่นจานเสียงโดยใช้มอเตอร์ขับ ที่เรียกว่า Direct-drive Motor (ซึ่งเป็นระบบที่ Thorens จดสิทธิบัตรไว้ในตอนนั้น) นอกจากนั้น Thorens ยังผลิตเครื่องรับวิทยุอีกด้วย
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง Thorens ออกเครื่องเล่นแผ่นเสียงสำหรับใช้งานในบ้านมาหลายรุ่น เช่น CD30, CD50, และ CD43 แต่มายกระดับคุณภาพของเครื่องเล่นให้ขึ้นสู่ระดับ Hi-end จริงๆ ในปี 1957 เมื่อรุ่น TD124 ออกสู่ตลาด โดยมีเป้าหมายที่นักฟังเพลงระดับเศรษฐีทั้งหลายทั่วโลก
TD 124 เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ผสมผสานจุดแข็งของระบบ Idler Drive กับระบบ Belt Drive เข้าด้วยกัน คือใช้มอเตอร์กำลังสูงติดลูกล้อทดแรงหมุนจานและสายพานล่าง เพื่อไปหมุนลูกล้อบน ที่เป็นลูกล้อทดแรงเสียดสีกับขอบล้อของ Platter ยักษ์ (แท่นวางแผ่น) น้ำหนัก 4.5 กิโลกรัม อีกทอดหนึ่ง โดยใช้เพลาหมุนขนาด 14 มิลิเมตร หมุนบนลูกปืนโลหะชนิดพิเศษเป็นแกนกลาง ระบบนี้ ปัจจุบันไม่นิยมผลิตแล้ว (เครื่องเล่นรุ่นปัจจุบันนิยมใช้ระบบมอเตอร์ไปหมุนสายพานที่หมุน Platter โดยตรง เรียกว่าระบบ Belt Drive) แต่จุดนี้แหละ ที่เป็นจุดแข็งของ TD124 ที่นักสะสมรุ่นปัจจุบันแสวงหากันนัก เนื่องเพราะมอเตอร์ของ TD124 มีความทนทานและเที่ยงตรงมาก และ Platter ก็แข็งแรง รับแรงเหวี่ยงได้ดี ประกอบกับเพลาและลูกปืนก็ทนทานง่ายแก่การบำรุงรักษา แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 50 ปีแล้ว เครื่องส่วนใหญ่ยังเล่นได้คุณภาพเสียงที่ไม่แพ้เครื่องเล่นรุ่นใหม่ในระดับราคาเป็นแสน สมกับคำร่ำลือว่าชาวสวิตนั้นเชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องจักรที่มีความเที่ยงตรงเป็นเลิศ
ไม่เชื่อก็ดูนาฬิกาที่ชาวสวิตผลิตนั่นปะไร ราคาเรือนละหลายๆ ล้าน คนก็ยังนิยมซื้อ!
TD124 สามารถปรับความเร็วได้ถึง 4 ระดับ คือ 16 2/3, 33 1/3, 45, 78 รอบต่อนาที โดยใช้ระบบ Magnetic Break ตรวจความถูกต้องได้โดยมองผ่าน Stroboscope ที่ฉาบทาไว้บนขอบนอกของจานหมุน และใช้หลอดนีออนจิ๋วส่องผ่านกระจกสะท้อนให้ผู้เล่นเห็นได้ นับเป็นเทคโนโลยีใหม่มากในสมัยนั้น ที่อนุญาติให้ผู้เล่นสามารถปรับความเร็วด้วยมือได้อย่างแม่นยำ (ข้อมูลในคู่มือของ TD124 อ้างว่าระดับความเพี้ยนเมื่ออุ่นเครื่องไปแล้วประมาณ 10 นาที มีเพียง 1% เท่านั้น)
Thorens ปรับตัวโดยรวมกิจการกับ Paillard ผู้ผลิตกล้อง Bolex แต่ความสัมพันธ์อันดีก็กลายเป็นขมในเวลาไม่นานนัก Thorens ต้องย้ายฐานการผลิตไปเยอรมัน เพื่อให้ต้นทุนถูกลง และเข้าร่วมกับ EMT กลายเป็นบริษัท Thorens-Franz AG. หลังจากนั้นจึงร่วมกันออกแบบรุ่น TD150 (1965) และ TD150 AB หลังจากนั้นจึงออกรุ่น TD125 (1969) ซึ่งเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่นักสะสมตามหากันมาก
ความสำเร็จของ TD125 ทำให้เกิด TD125 Mk II ตามมาในปี 1972 แต่เนื่องจาก TD125 และ TD125 Mk II เป็นเครื่องราคาแพง (แพงกว่า Garrard 401 คู่แข่งสำคัญเกือบเท่าตัว) Thorens จึงออกรุ่นถูกลงคือ TD165 และ TD166 ในปีเดียวกันนั้นเอง
นักเล่นเครื่องเสียงส่วนใหญ่ ถือเอาช่วงปี 1972-1974 เป็นจุดสูงสุดของ Thorens เพราะหลังจากที่ตัดสินใจออกรุ่น TD126 มาแทน TD125 Mk II ในปี 1974 Thorens ก็เริ่มเสื่อม แม้จะออก TD126 Mk II และ Mk III ตามมาอีกก็ตาม
จุดพลิกผันอยู่ที่การเข้าตีตลาดเพลงโดยซีดีและเครื่องเล่นซีดี (CD) ในปี 1982 ทำให้ตลาดแผ่นเสียงและเครื่องเล่นแผ่นเสียงหดตัวลงแทบจะทันที คงเหลือแต่ตลาดบนในระดับราคาแพงเท่านั้น ที่ยังหลงเหลือ Pocket Demand อยู่
Thorens เอง ก็หนีไม่พ้นชะตากรรมดังกล่าว จนต้องล้มลุกคลุกคลาน และถูกซื้อโดยนักลงทุนเยอรมันไปในที่สุด ปัจจุบัน Thorens Audio HiFi-Vetriebs-GmbH ยังคงผลิตเครื่องเล่นแผ่นเสียงยี่ห้อ Thorens อยู่ เพียงแต่เปลี่ยนตลาดจากที่เคยอยู่ในระดับ Hi-end ลงมาสู่ตลาดระดับ Mass
และด้วยกระแสของความนิยมแผ่นเสียงที่กลับมาอีกครั้ง Thorens ก็ได้เปิด Lab สำหรับซ่อม จำหน่ายอะไหล่ และสร้าง (Restoration) เครื่องเก่า ขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีนี้ ทำให้ตลาดเครื่องเล่นจานเสียง Thorens รุ่นเก่าสำหรับนักสะสม เริ่มคึกคัก และกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แน่นอน ราคาย่อมถีบตัวตามไปด้วยเป็นเงาตามตัว
สำหรับเมืองไทยนั้น กระแสโหยหาอดีตและนิยมบริโภคอดีต ก็เริ่มดันราคาแผ่นเสียงเก่า และเครื่องเสียงคุณภาพรุ่นเก่าๆ บางยี่ห้อ อย่าง Marantz, McIntosh หรือ Mark Levinson ไปไต่ระดับที่คนส่วนใหญ่ยากจะสัมผัสได้ และแน่นอน TD124 ก็ย่อมจะหนีไม่พ้นสัจธรรมแห่ง Demand-Supply ดังว่า ในเร็ววันนี้